เที่ยวบ้าน..ข้าน้อย

แอร์ละแหน่...พาเที่ยว

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

ความหมายของการปล่อยสัตว์




คุณรู้ไหมว่า...ปล่อยปลาแต่ละชนิดมีความหมายอย่างไรเวลาที่คุณทำบุญโดยการปล่อยสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์น้ำ ประเภทปลาซึ่งมีอยู่หลายชนิดนั้นซึ่งแต่ละชนิดมีความหมายในการทำบุญแตกต่างกันไป เรามาดูกันว่า ปลาแต่ละชนิดและสัตว์น้ำบางชนิด มีความหมายในการทำบุญด้วยการปล่อยอย่างไร เพื่ออะไรบ้าง บางคนอาจปล่อยสัตว์เหล่านี้ตามจำนวนมากกว่าอายุเรา 1 ปี หรือบางคนอาจยึดหลักตามกำลังวันเกิดของเราเอง
ความหมายของการปล่อยสัตว์ ปลาไหล หมายถึง การเงิน การงาน การเรียนจะราบรื่นปลาหมอ หมายถึง เพื่อสุขภาพปลาบู่ หมายถึง ทดแทนผู้มีพระคุณปลาดุก หมายถึง ศัตรูคู่แข่งแพ้พ่ายปลานิล หมายถึง ทรัพย์สินเพิ่มพูนปลาช่อน หมายถึง ช้อนเงินทอง สิ่งที่ซ่อนเร้นจะได้พบปลาทับทิม หมายถึง ทำอะไรราบรื่นปลาสวาย หมายถึง เงินทองคล่องตัวปลาขาว หมายถึง ปลานำโชคปลาจารเม็ด หมายถึง จะได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยปลาใน หมายถึง ได้เป็นเจ้าคนนายคนปลาดุกเผือก หมายถึง ปลามงคลปลาดำราหู หมายถึง สะเดาะเคราะห์ปล่อยกบ หมายถึง ขออุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวรหอยขม หมายถึง ทิ้งความขมขื่น จะร่มเย็นเป็นสุขหอยโข่ง หมายถึง หนทางโล่งเป็นผู้นำ ข้าทาสบริวารมากตะพาบ หมายถึง ภัยคุกคามต่า งๆจะราบ อัมพาตจะดีขึ้น อายุมั่นขวัญยืนสำหรับผู้ที่เกิดแต่ละวัน มีเคล็ดในการทำบุญต่าง ๆ กันไป ดังนี้บุคคลใดที่เข้าสู่เบญจเพท อายุลงท้ายเลข 5 ,9 เช่น 25 29 35 39 45 49 55 59 เป็นต้น... คนเกิดวันอาทิตย์ ....ให้ปล่อยปลาไหล... คนเกิดวันจันทร์...... ให้ปล่อยนก... คนเกิดวันอังคาร..... ให้ปล่อยหอยขม... คนเกิดวันพุธ.............ให้ปล่อยปลาไหล... คนเกิดวันพฤหัส..... ให้ปล่อยเต่า... คนเกิดวันศุกร์......... ให้ปล่อยปลาหมอ... คนเกิดวันเสาร์........ ให้ปล่อยปลาไหลจำนวนสัตว์ที่ปล่อย ถ้ามีกำลังทรัพย์ ก็ให้มากกว่าอายุ สำหรับคนที่มีรายได้น้อยไม่สะดวกเรื่องเงิน ให้ถือเลขอายุลงท้ายเลข คู่ ให้ปล่อยสัตว์จำนวนเลขคี่ อายุลงท้ายเลขคี่ ให้ปล่อยสัตว์จำนวนเลขคู่... อายุ 24 ปล่อยสัตว์จำนวน เลขคี่ 1 3 5 7 9 ..... ฯ... อายุ 25 ปล่อยสัตว์จำนวน เลขคู่ 2 4 6 8 10 12 14 ..... ฯคำอธิษฐาน การปล่อยสัตว์ข้าพเจ้าชื่อ ......... นามสกุล เกิดวันที่ ..... เดือน . พ . ศ ...... อายุ .... ปี ได้ปล่อยสัตว์ ............... จำนวน ...... ตัว ปล่อยเพื่อให้เป็นที่พึ่งแก่ตนเอง เพื่ออุทิศส่วนกุสลให้แก่ศัตรู และเจากรรมนายเวรทั้งหลาย ตัวที่เป็นที่พึ่ง ขอให้นำความสุขและโชคลาภมาให้ข้าพเจ้า ตัวที่ให้กับศัตรูและเจ้ากรรมนายเวร จงนำเอาสรรพทุกข์ สรรพโศกสรรพโรค สรรพภัย สรรพเคราะห์เสนียดออกไปจากข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอให้พระแม่ธรณี พระแม่คงคา , เทพเทวา เจ้าที่เจ้าทาง , หลวงพ่อโต , และพญานาคราช จงป็นสักขีพยานรับทราบกุศลเจตนาของข้าพเจ้า และคุ้มครองชีวิตสัตว์ให้ปลอดภัยจนสิ้นอายุขัย ด้วยอำนาจของกุศลผลบุญนี้ จงสะเดาะเคราะห์ร้ายของข้าพเจ้าให้กลับกลายเป็นดี มีความร่มเย็นเป็นสุขประสพความสำเร็จสมหวังในสิ่งที่พึงปรารถนา มีความเจริญก้าวหน้า มีชีวิตที่ สดชื่น มีความสุขความเจริญ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ .




วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

คนที่ชอบพักมากๆ ตายเร็วกว่าคนทำงาน


นักวิจัยสมาคมวิจัยโรคมะเร็งอเมริกัน ได้พบในการศึกษาว่า คนเรายิ่งนั่งอยู่เฉยนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสี่ยงกับความตายมากเท่านั้น

นัก วิจัยอัลพา ปาเตล ของสมาคมกล่าวแจ้งว่า การนั่งนานในเวลาว่างมากเท่าใด ยิ่งเสี่ยงกับการตายสูงเท่านั้น โดยเฉพาะผู้หญิง สตรีที่รายงานว่า ใช้เวลานั่งนานไม่ต่ำกว่าวันละ 6 ชม. จะเสี่ยงกับการเสียชีวิตลง ในระหว่างช่วงเวลาของการศึกษา มากกว่าผู้ที่นั่งนานไม่เกินวันละ 3 ชม. ถึงร้อยละ 37 สำหรับผู้ชาย คนที่นานมากกว่าวันละ 6 ชม. ก็จะเสี่ยงตายมากกว่าเพื่อนที่นั่งนานไม่เกินวันละ 3 ชม. ร้อยละ 18 โดยจะตายด้วยโรคหัวใจมากกว่ามะเร็ง

เขาอธิบายว่า “การนั่งนานๆ โดยไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว จะทำให้เป็นโทษกับการเผาผลาญอาหารของร่างกาย และอาจจะมีอิทธิพลกับไตรกลีเซอไรด์ ลิโพโปรตีน คอเลสเทอรอล ความดันโลหิต และเลปติน ซึ่งล้วนแต่เป็นเครื่องชี้วัดของความอ้วน และโรคหลอดเลือดหัวใจกับโรคเรื้อรังต่างๆ

รายงานการศึกษาได้สรุปว่า “ข้อแนะนำและคำประกาศทางสาธารณสุข ควรจะรวมคำเตือน ให้มีการลดการใช้เวลานั่งไว้ด้วย เพื่อจะได้เคลื่อนไหวอิริยาบถมากขึ้น”.

ทีึ่มา http://www.xn--q3ctbz5akd1duhna.com


วิธีลดความมันบริเวณรอบจมูก


บริเวณจมูกมักจะมันเยิ้มได้ง่ายมาก แถมยังมีสิวหัวดำขึ้นมาบ่อยๆ หมั่นทำความสะอาดผิวหน้าเป็นอย่างดีแล้วก็ยังไม่หาย ทำยังไงดีคะ?

A : มี ปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ผิวบริเวณนั้นผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ทั้งสภาพอากาศ สิ่งแวดล้อม และรอบเดือน บางครั้งการกินอาหารที่มีประโยชน์ และการทำความสะอาดผิวหน้าเป็นประจำก็ยังอาจไม่พอ คุณจำเป็นต้องทำความสะอาดอย่างล้ำลึกสัปดาห์ละครั้งด้วยมาส์กที่มีขายตาม เคาน์เตอร์ทั่วไป หรืออาจลองปรุงมาส์กพอกหน้าตำรับทำเอง

ขั้นแรกผสมข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะเข้ากับน้ำนม เติมมันเนย 4 ช้อนโต๊ะ คนส่วนผสมทั้งสองอย่างให้เข้ากันจนมีลักษณะเป็นเนื้อครีมข้นๆ นำมาพอกหน้า และลำคอทิ้งไว้ 15-20 นาที หลังจากนั้นเช็ดออกด้วยผ้าขนหนูนุ่มๆ ชุบน้ำอุ่นแล้วบิดให้แห้งหมาด ๆตามด้วยน้ำสะอาด และตบท้ายด้วยน้ำเย็นเพื่อช่วยกระชับรูขุมขนค่ะ


ที่มา http://www.xn--q3ctbz5akd1duhna.com

กูเกิ้ลเตือน”แอนตี้ไวรัส” (antivirus) ปลอมระบาดหนัก


รายงานข่าวล่าสุด ผลจากการศึกษาของกูเกิ้ล (Google) พบว่า ซอฟต์แวร์แอนตี้ (antivirus) ไวรัสปลอมที่ ติดตั้งตัวเองเข้าไปในพีซีพร้อมกับโค้ดอันตราย กำลังเป็นภัยคุกคามอย่างหนัก โดยผลจากการวิเคราะห์หน้าเว็บ 240 ล้านเพจตลอดช่วงระยะ 13 เดือนที่ผ่านมาพบว่า มีโปรแกรมแอนตี้ไวรัสปลอมมากถึง 15% เลยทีเดียว

แฮคเกอร์ และพวกนักต้มตุ๋นกำลังหลอกล่อให้ผู้ใช้ดาวน์โหลด และติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัสปลอมเข้าไปในเครื่อง

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

วิธีเปลี่ยนอารมณ์เสีย ให้อารมณ์ดีอย่างรวดเร็ว



  • เขียนบันทึก เพราะการเขียนเรื่องที่ทำให้คุณอารมณ์บูดลงในสมุดไดอารี่ หรือบนบล็อกส่วนตัวของคุณ เป็นอีกหนึ่งวิธีระบายความโกรธที่ดีทีเดียว ที่สำคัญมันสามารถช่วยได้โดยไม่ต้องรบกวนเพื่อน ญาติ ให้มารับฟังปัญหาของคุณอีกด้วย
  • คิดถึงฉากภาพยนตร์ ละคร หรือเรื่องราวน่าประทับใจแทนเหตุการณ์ที่ชวนอารมณ์ไม่ดี หรือจะฟังเพลงที่ชอบก็ได้ อาจจะช่วยได้อีกทาง
  • เข้าหาธรรมชาติ อาจ จะออกไปอยู่ในสวน ชมต้นไม้ ปลูกต้นไม้ ดอกไม้ หรือออกไปเดินตากแดดอุ่น ๆ เดินชมแสงจันทร์ หรือหมู่ดาวยามค่ำคืน หรือแม้กระทั่งเขยิบตัวไปชิดหน้าต่างที่เปิดรับลมจากภายนอกก็ยังได้ ธรรมชาติจะช่วยให้จิตใจสงบ และผ่อนคลายลงจนทำให้คลายอารมณ์เสียได้
  • ลองก้มตัวลงไปเอามือแตะหัวแม่เท้า ค้างไว้สัก 1 นาที จาก นั้นค่อย ๆ ยกตัวกลับขึ้นมา จะรู้สึกว่า อารมณ์ดีขึ้น เป็นเพราะร่างกายได้เหยียดยืด ความตึงเครียดตามอวัยวะต่าง ๆ จะหายไป ทำให้อารมณ์สดใสขึ้นได้
  • แปะภาพที่ให้ความรู้สึกดี ๆ ไว้บนประตูตู้เย็น อาจจะเป็นภาพประทับใจของครอบครัวก็ได้ค่ะ อาจช่วยให้เราระลึกได้ถึงวันเวลาดี ๆ เพื่อให้ความรู้สึกดี ๆ เหล่านี้เข้ามาช่วยขับอารมณ์เสีย ออกไปได้
  • วางแผนลาพักร้อน เหนื่อยนักก็พักเสียเลย กางปฏิทินหาเวลาเหมาะ ๆ วางแผนลาพักร้อนไปเที่ยวกับครอบครัว และหากมีปฏิทิน ก็วงวันที่ด้วยปากกาสีสันสดใส ให้ตัวโต ๆ เวลาเดินผ่านจะได้นึกถึงช่วงวันหยุดที่กำลังจะมาถึง จิตใจจะได้ผ่องใส
  • ลองเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนรอบข้าง ทำดีให้คนอื่น ๆ โดยไม่หวังผลตอบแทน เช่น นำหนังสือนิทานดี ๆ มาแบ่งปันให้เด็กๆ ในซอยฟัง หรืออาจจะซื้อกาแฟอร่อย ๆ มาฝากเพื่อนบ้านหรือเพื่อนร่วมงาน หรือคลุกข้าวเผื่อเจ้าตูบหน้าปากซอยก็ได้ อิ่มบุญขนาดนี้ เดี่ยวอารมณ์ก็สดใสขึ้น

ลองทำตามคำแนะนำนี้ดูนะคะ

ที่มา http://sakid.com/2010/09/05/25635/


เคล็ดลับ ประทับใจ เมื่อรักแรกพบ หรือ เมื่อพบกันครั้งแรก


  • เลือกสถานที่ เงียบสงบน่าจะดี สถานที่ที่เหมาะกับการบ่มเพาะมิตรภาพส่วนใหญ่ จะเป็นที่ที่ไม่ดึงอื้ออึง เช่น ตลาดสด และไม่ควรนัดพบครั้งแรกที่บ้าน เนื่องจากถ้าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นประเภท 17 มงกุฎ หรือเป็นคนประเภท “เกาะหนึบ” แล้ว อาจจะเสี่ยงอันตรายมากไป หรือไม่ก็เลิกลากันได้ยาก เพราะอีกฝ่ายจะตามตื๊อได้ง่าย ของฝากเล็กๆ น้อยๆ เช่น ดอกไม้ ช็อกโกแล็ต ฯลฯ อาจช่วยสานต่อมิตรภาพได้ โดยเลือกให้เหมาะกับอีกฝ่ายหนึ่ง
  • ดูดีไว้ก่อน คนที่ “ดูดี” หรือภาพรวมของร่างกาย-เสื้อผ้า-เครื่องประดับดูเหมาะสม และดูสะอาดน่าจะได้เปรียบกว่าคนที่ “ดูไม่ดี” เสมอ เรื่องที่สำคัญ คือ ตัดภาพลบออกไป เช่น หัวกระเซิงอาจไปตัดผมก่อน หัวเหม็นอาจไปสระผมก่อน เต่าแรงอาจใช้ยาทาทุกวันล่วงหน้า 7 วัน ฯลฯ อย่าลืมนอนให้พอล่วงหน้าไว้หลายๆ วัน เพราะถ้าง่วงไปหาวไป หรือไปถึงก็หลับเลยตั้งแต่แรกพบอาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่า คนๆ นี้น่าจะไม่ค่อยมีสมรรถภาพ
  • มีน้ำใจ ความเป็นคน “มีน้ำใจ” หรือเป็นคน “น่ารัก” มักจะมีชัยไปกว่าครึ่ง เช่น ไปออกค่ายด้วยกันก็ช่วยทำกับข้าว ล้างจาน-ล้างชาม-ล้างแก้ว แบกของ (แรกดีไว้ก่อนได้เปรียบเสมอ) ฯลฯ ที่สำคัญ คือ “ไม่รับปาก” โดยไม่ทำ… อะไรที่ไม่แน่ใจก็อย่าเพิ่งรับปาก เพราะคำพูดของเราเป็น “เครดิต” ทางใจกับคนอื่น
  • ทิ้งเรื่องหนักๆ ไว้ ไม่ว่าชีวิตจะ “โหด-เศร้า-เหงา-เซง” สักเพียงใดก็ต้องรู้จัก “วางมันลง” ก่อนไปสานต่อมิตรภาพใหม่เสมอ เพราะการไปถึงก็บ่นๆๆๆ มักจะทำลายมิตรภาพตั้งแต่แรกพบ ตรงกันข้าม… ถ้าจะสานต่อมิตรภาพครั้งแรก ให้พก “ความสุข” ไป หรือไม่ก็ “เริ่มจากฐานศูนย์ (0)” หรือลืมเรื่องเก่า-พักเรื่องเก่าไว้ชั่้วคราว แล้วไปเริ่มต้นกันใหม่ และอย่าลืม… ทำตัวให้ว่าง เช่น เคลียร์ธุระใ้ห้ว่างจริงๆ สัก 1/2 วัน ฯลฯ… ไม่จำเป็นอย่าไปรับงานอื่นเพียบ ซึ่งจะทำให้เครียดโดยไม่จำเป็น
  • อย่าเสแสร้ง การเสแสร้งเป็น “อะไรที่ไม่ใช่เรา” มักจะทำให้มิตรภาพไม่ยั่งยืน… ทางที่ดี คือ เป็นอย่างที่เราเป็น พร้อมรับฟัง พร้อมที่จะแก้ไขข้อบกพร่อง พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ พร้อมที่จะพยายามใหม่เสมอ

เจอกันคราวหน้า อย่าลืมทำตามที่บอกนะคะ ^-^


ที่มา http://sakid.com/2010/09/04/25616/

เรื่องน่ารู้ เทคนิคการปฏิเสธ เพื่อไม่ให้หักหาญน้ำใจ


  1. ตอบปฏิเสธออกไปตรงๆ โดยพูดเน้นคำว่า “ไม่” สัก 2 ครั้ง เพื่อให้คู่สนทนารู้ว่า คุณไม่ต้องการ หรือทำในสิ่งที่เขาขอร้องไม่ได้จริงๆ ก่อนปิดท้ายด้วยคำว่า “ขอบคุณ” ให้ดูดีมีมารยาท ตัวอย่าง เหตุการณ์ที่ หลายคนต้องพบเจออยู่เป็นประจำ เช่น หากมีใครมาชวนไปทานข้าวกลางวัน แต่คุณไม่อยากไป หรือไปไม่ได้ให้ตอบว่า “ไม่ค่ะ ฉันไปไม่ได้จริงๆ ขอบคุณค่ะที่ชวน”
  2. การสะท้อนถึงคำว่า “ไม่” สำหรับเทคนิคนี้มีหลักการคือ ก่อนคุณจะปฏิเสธนั้น ให้คุณขึ้นต้นด้วยประโยคที่สื่อได้ว่า คุณรู้ในสิ่งที่คนชวนต้องการ แต่คุณก็ไปด้วยไม่ได้จริงๆ (สะท้อนให้เขารู้ ว่าคุณเข้าใจความต้องการหรือเจตนาเขา ก่อนจะตอบปฏิเสธ) ตัวอย่าง “ฉันทราบค่ะว่าคุณอยากคุยกับฉัน เกี่ยวกับแผนงานประจำปีในมื้อกลางวันนี้ แต่ฉันไปด้วยไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
  3. บอกเหตุผลในการปฏิเสธ สำหรับเทคนิคนี้ ต้องเน้นนะคะว่า ให้บอกเหตุผลในการปฏิเสธเพียงสั้นๆ เท่านั้น เอาแบบ สั้น ง่าย ได้ใจความ อย่าเยิ่นเย้อ หรือชักแม่น้ำทั้ง 5 มาสาธยาย เพราะนั่นจะยิ่งทำให้ดูน่ารำคาญ และไม่จริงใจ เหมือนพยายามหาข้ออ้างมาปฏิเสธมากกว่า ตัวอย่าง “ฉันคงไปทานข้าวเย็นกับคุณไม่ได้ เพราะมีงานที่ต้องทำให้เสร็จภายในค่ำนี้”
  4. ปฏิเสธแบบต่อรอง อัน นี้เป็นมุมมองการปฏิเสธแบบนักธุรกิจสักหน่อย หลักการอยู่ที่ว่า หากคุณทำในสิ่งที่เขาขอร้อง หรือชักชวนในครั้งนี้ไม่ได้ ก็ให้ยื่นข้อเสนอไปว่า เอาไว้คราวหน้าได้ไหม? ตัวอย่าง “ฉันไปทานข้าวกับคุณวันนี้ไม่ได้จริงๆ เอาไว้เป็นโอกาสหน้าก็ได้ไหมคะ”
  5. การปฏิเสธแล้วถามกลับ เทคนิคข้อนี้มีหลักการคือ เมื่อพูดปฏิเสธไปแล้ว ให้ยิงคำถามกลับไปทันที ตัวอย่าง (ขอยกตัวอย่างประโยคการปฏิเสธที่แอบหยอดคนชวนไว้เล็กๆ) “เราคงไปทานข้าวมือกลางวันในวันนี้ไม่ได้จริงๆ แต่มันจะมีโอกาสหน้าอีกไหมคะ ที่เราจะได้ไปทานด้วยกัน”
  6. ทวนคำปฎิเสธ เทคนิคสุดท้ายนี้ ถือว่าได้รับความนิยมที่สุด เพราะเป็นเทคนิคการพูดที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่า เราใส่ใจเขา และในความจริงแล้ว เราเองก็ไม่ปฏิเสธเขาแต่มันจำเป็นต้องปฏิเสธจริงๆ นั่นคือ เทคนิคการทวนคำปฏิเสธหลายๆ รอบ ด้วยประโยคต่อๆ กัน ตัวอย่าง “เราคงไปทานข้าวกับเธอไม่ได้จริงๆ อยากไปด้วยนะแต่ไปไม่ได้ จริงๆ นะ ถ้าไปได้วันนี้คิดว่าจะเลี้ยงเธอเลย แต่มันไปไม่ได้จริงๆ” (แอบขำทำเป็นเนียนว่าจะเลี้ยงเขาซะด้วย)

ใครที่เจอคนตื้อบ่อยๆ ลองทำตามคำแนะนำดูนะคะ ไม่แน่น้า เค้าอาจจะถอยทับไปเองก็ได้ ถ้าเจอคำปฏิเสธบ่อยๆ


ที่มา http://sakid.com/2010/08/26/25385/

แฟนแบบนี้ ควรหลีกไกล ก่อนที่จะถลำลึก


  1. แฟนประเภทชอบรื้อฟื้น เช่น คบกันอยู่ดีๆ แต่วันร้ายคืนสยองเขากลับ มักพูดถึงแต่แฟนเก่า ว่าเป็นคนอย่างงั้น อย่างโน้น นัยว่าหล่อน เป็นแม่พิมพ์ประจำใจเขานั่นแหละ แถมเล่าแล้วไม่เล่าเปล่าเสียด้วยนะ มีการจับทั้งแฟน ปัจจุบันกับอดีตหวานใจมาเปรียบเทียบซะกระเจิด กระเจิง แล้วไอ้ที่ เขาพูดๆ พล่ามๆ เรื่องรักเก่าสมัย ม.3 อะไรเนี่ย มันเป็นสิ่งสร้างสรรค์ หรือทำให้รักปัจจุบัน เหนียวแน่นหรือก็เปล่าเลย ยิ่งเห่า เอ้ย ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้แฟนคนล่าสุดหมดกำลังใจไปเรื่อยๆ แถมดีไม่ดี เขาอาจเก็บภาพสมัยที่เคยระเริงรักกับแฟนเก่า ซึ่งซุกไว้ในเอ็กซ์ไฟล์ ส่วนตัวมาเปิดดูบ่อยๆ โดยที่คุณไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้ แล้วอย่างนี้จะให้รักกันไหวไหมล่ะ
  2. แฟนชอบโกหกจนเป็นสันดาน ข้อนี้คงไม่ต้องอาศัยคำอธิบายอะไรให้มาก เพราะ ใครบ้าง ที่ไม่รู้อยู่แก่ใจว่า การโกหก คือยาพิษที่ บ่อนทำลายความรักได้ง่ายและฉับไวที่สุดบ้างนะ เหตุนี้ ถ้ามีแฟนจัดเข้าข่ายเป็นพวกโก-Six หรือมุสาวาจา เป็นกิจวัตร หรือพวกชอบโชว์มาด “มือถือสาก ปากถือศีล” ล่ะก็ ถ้าไม่เลิกกันวันนี้ พรุ่งนี้ ก็คงมะรืนนี้แหละ สักวันนึงย่อมทนกันไม่ได้อยู่ดี
  3. แฟนเจ้าชู้ไม่เลือกหน้า แบบ ว่าเผลอเป็นไม่ได้ ต้องสะเหร่อแบ่งกายไปเบียด คนอื่นอยู่เรื่อย แต่ใช้ข้ออ้างเดิมๆ ว่า เพราะเด็กมันยั่ว เลยหลวมตัวนอตหลุด งั้นเชิญไปไขก๊อกกันทุกคืนเลยแล้วกัน เราอย่าลดตัว เป็นมารคอหอยเขาหน่อยเลย
  4. แฟนที่ไม่สนว่า จำเป็นต้องเอาใจคนรักอะไร กันนักหนา .ถ้าไม่รู้จักเอาใจสวีตฮาร์ท แล้วจะให้อีกฝ่ายคอย แต่เอาใจใส่เขาหรือยังไง หากรักกันจริงก็ควรเทกแคร์กันสิเพ่ เท กแคร์น่ะแปลว่า ดูแลเอาใจใส่ไม่ ใช่ไม่เห็นจำเป็นต้องไปเหลียวแล เค้าว่า ความรักคือการแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้แก่กันไม่ใช่หรือ? แล้วเคยให้กันบ้างไหม?
  5. แฟนไม่เคยมีเวลาให้ รวมไปถึงชอบผิดนัด นิยมบอกปัด อ้างงานเยอะ แม้แต่วันหยุดสุดสัปดาห์ก็ไม่รู้หายหัวไปไหน ขืน เป็นงี้ แล้วจะเป็นแฟนกันไปทำไม? จะเป็นเพื่อนหรือเป็นแฟนก็แปะเอี้ย (เหมือนกัน) ไม่เห็นมีอะไรต่าง นอกจากอยากเป็นแฟนเฉพาะทางโทรศัพท์ก็ว่าไปอย่าง
  6. แฟนไม่เคยทำตามสัญญา ให้ความหวังด้วยลมปากเป็นอย่างเดียว แต่ทำให้หวังเป็นจริง ไม่ได้ก็แย่
  7. แฟนที่ชอบตอกย้ำซ้ำเติมปมด้อยให้น้อยเนื้อต่ำใจได้ตลอดเวลา เอ๊ะ ถ้าไม่เห็นเรามีดีแล้วตกลงมารักกันให้เจ็บๆคันๆ ทำไมเหรอ ถ้ารักแล้ว พูดจาภาษาดอกไม้ หาเรื่องดีๆ เป็นสิริมงคลมาคุยกันไม่ได้ งั้นหันมาเป็นศัตรูกันยังเก๋ซะกว่า นี่ล่ะหนา ถึงอยากถามใครต่อใคร ว่าก่อนจะรัก หล่อนพร้อมจะเจ็บกระดองใจหรือยังจ๊ะ

ใครที่มีแฟนแบบนี้ ห่างๆบ้างก็ดีนะคะ


ที่มา http://sakid.com/2010/08/29/25450/

วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประวัติเพลงลูกทุ่ง


เพลงลูกทุ่ง คือเพลงที่สะท้อนวิถีชีวิต สภาพสังคมอุดมคติและวัฒนธรรมไทย โดยมีท่วงทำนอง คำร้อง สำเนียง และลีลาการร้องการบรรเลงที่เป็นแบบแผน มีลักษณะเฉพาะซึ่งให้บรรยากาศ ความเป็นลูกทุ่ง

ขุนวิจิตรมาตราบันทึกไว้ในหนังสือเรื่องของละคร และเพลง ว่าเพลงลูกทุ่งเป็นวงดนตรีแบบสากลที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้ง ที่ 2 ประมาณปีหรือสองปี ลักษณะเพลงลูกทุ่งในระยะเริ่มแรก มาจากการร้องรำทำเพลงของไทยดั้งเดิม อาทิ แหล่เทศน์ สวดคฤหัสถ์ จำอวด ลิเก (ทรงเครื่อง) ลิเกลูกหมด (ไม่แต่งเครื่อง) ลิเกบันตน ลำตัด เพลงขอทาน เพลงพื้นเมืองบางเพลง ฯลฯ โดยเพลงลูกทุ่งนำมาดัดแปลงแล้วใส่ดนตรีแบบสากล เป็นลักษณะเพลงแบบใหม่

ส่วนคำว่า "เพลงลูกทุ่ง" อาจารย์จำนง รังสิกุล คิดประดิษฐ์ขึ้นใช้เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 เพลงลูกทุ่งมีความชัดเจนจากเพลงลูกกรุงโดยประกอบ ไชยพิพัฒน์ จัดรายการเพลงสถานีไทย โทรทัศน์ ใช้ชื่อรายการว่า "เพลงลูกทุ่ง"

สุ รพล สมบัติเจริญ ได้ทำให้เพลงลูกทุ่งอยู่ในความนิยม ในช่วงปี พ.ศ. 2506 –2513 จนเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของเพลงลูกทุ่ง ได้เกิดการแข่งขัน และยังมีนักร้องลูกทุ่งเกิดขึ้นใหม่หลายคน ต่อมาหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เพลงลูกทุ่งก็อยู่ในยุคเพลงเพื่อชีวิต เนื้อหาเพลงลูกทุ่ง ได้สอดแทรกเนื้อหาเพลงเพื่อชีวิต โดยในยุคนั้นมีเพลงลูกทุ่งเพื่อชีวิตเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้น ระหว่าง พ.ศ. 2520–2528 วงดนตรีเพลงลูกทุ่งได้เข้าสู่ระบบทุนมากขึ้น มีการแสดงเพลงลูกทุ่งมีการประกวดประชันการเต้นและเครื่องแต่งกายของหาง เครื่องประกอบ จนในปัจจุบัน มีศิลปินลูกทุ่งหน้าใหม่เข้าสู่วงการเพลงลูกทุ่งของค่ายเพลงหน้าใหม่ ตลาดเพลงลูกทุ่งเป็นตลาดใหญ่ เพลงลูกทุ่งได้รับความนิยมอีกครั้ง และมีการมอบรางวัลทางดนตรีลูกทุ่งอยู่หลายรางวัล

ที่มา http://www.yes-iloveyou.com/smfboard/index.php?topic=1842.0

Air Card คืออะไรกัน...


AirCard คือ อุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อกับ notebook หรือ PC ตั้งโต๊ะ เพื่อเล่น internet แบบไร้สาย ผ่านผู้ให้บริการมือถือเช่น AIS หรือ DTAC โดย AirCard จะมีทั้งแบบที่เป็น PCMCIA หรือ ExpressCard ที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับ notebook หรือ AirCard แบบ USB ที่ใช้กับ computer ได้ทุกเครื่องที่มี USB port

ในปัจจุบันนี้เมืองไทยยังมีแค่ EDGE โดยผู้ให้บริการ AIS และ DTAC ให้บริการเชื่อมต่อ EDGE ที่ความเร็วสูงสุด 220Kbps แต่การใช้งานจริงจะอยู่ระหว่าง 100-200Kbps

โดยความเร็วขนาด นี้สามารถใช้ เข้าweb ฟังเพลง เล่นเกมส์ chatพร้อมดูwebcam ได้สบาย แต่ต้องทำความเข้าใจด้วยว่า EDGE นั้นไม่ต่างจากคลื่นมือถือตรงที่ว่าในบางช่วงเวลาสัญญาณจะอ่อนหรือหายไป ซึ่งจะทำให้ net เดินสะดุด ดังนั้นหากนำไปใช้เล่นเกมส์จำพวกที่ว่าห้ามเน็ตเดินสะดุดเลยสักช่วงวินาที เดียว ทางเราขอแนะนำให้ใช้การเชื่อมต่อแบบสาย Hi-Speed จะทำให้เล่นเกมส์ได้ stable กว่า

ความเร็วของ EDGE นั้นยังไม่สามารถใช้ดู TV หรือ Youtube ได้แบบต่อเนื่อง โดยภาพที่ได้จะสะดุดเป็นช่วงๆ จำเป็นต้องให้download เสร็จก่อนค่อยดูทีเดียว ดังนั้นหากต้องการดู TV ด้วย AirCard จำเป็นต้องรอระบบ 3G เท่านั้น ซึ่ง3Gจะวิ่งที่ความเร็ว 3.6-7.2Mbps สามารถใช้ดู TV ได้ 3-5 ช่องพร้อมกันแบบสบายๆ ไม่มีติดขัด


ที่มา www.aircardshop.com/AIRCARD-NETSIM-EDGE-3G-AIS-DTAC-4-3

วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ปัญหาการใช้ blackberry


หลังจาก BlackBerry โดนแบนในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กับซาอุดีอาระเบีย (และอาจรวมอินโดนีเซียกับเลบานอนใน อนาคต) ล่าสุดแหล่งข่าวได้บอกสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า RIM มีแนวคิดที่จะตั้งเซิร์ฟเวอร์ในซาอุดีอาระเบียเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยข้อเสนอที่ส่งให้กับคณะกรรมการการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ (Communications and Information Technology Commission) มี 2 แนวทาง คือ ข้อมูลจากบริการ IM จะวิ่งเข้าเซิร์ฟเวอร์ท้องถิ่นก่อนที่จะส่งต่อไปเซิร์ฟเวอร์ที่แคนาดา หรือจะให้มี patch เพื่อให้รัฐบาลเข้าถึงข้อมูลได้กรณีที่มีปัญหาเร่งด่วน
ตอนนี้ยังไม่มีการยืนยันจากทั้งทาง RIM และหน่วยงานในซาอุดีอาระเบียแต่อย่างไร แต่หนังสือพิมพ์ Al-Hayat ฉบับออนไลน์ได้รายงานตามแหล่งข่าวของตนเช่นกันว่า RIM มีข้อเสนอตั้งเซิร์ฟเวอร์ในประเทศ
ตามข่าวก่อนหน้านี้ RIM ยังคงมีท่าทีที่แข็งกร่าวและกล่าวว่าจะไม่ยอมให้ข้อเสนอใดๆ แก่ประเทศต่างๆ หรือประนีประนอมเพียงเพื่อที่จะยังขาย BlackBerry ต่อไปได้
รัฐบาลอินเดีย ได้จัดการประชุมหารือกับบริษัท รีเสิร์ช อินโมชั่น หรือ “R.I.M.” ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ "แบล็คเบอรี่" หรือ “B.B.” เนื่องจากต้องการเข้าตรวจสอบข้อมูลในอีเมล์ และ ข้อความสนทนาของผู้ใช้ ด้วยความกังวลว่าB.B. อาจเป็นช่องทางการสื่อสารให้กับ กลุ่มก่อการร้าย และหากไม่สามารถหาข้อสรุปได้ รัฐบาลอินเดียจะสั่งระงับบริกา รB.B.ชั่วคราว จนกว่าผู้ให้บริการจะหาแนวทางแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้ B.B.ราว 1,000,000 คนในอินเดีย ทำได้แค่เพียงโทรศัพท์เข้า-ออก และท่องอินเตอร์เนตเท่านั้น

เมื่อ 2 ปีที่ก่อน อินเดียเคยพบเหตุการณ์ ผู้ก่อการร้ายใช้การสื่อสารผ่านทางโทรศัพท์มือถือ และดาวเทียม เพื่อก่อเหตุวินาศกรรมในเมืองมุมไบจนมีผู้เสียชีวิตถึง 166 คนมาแล้ว

ส่วนประเทศตะวันออกกลาง อาทิ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเลบานอนก็กำลังเจรจากับบริษัทริมเพื่อให้ทางการสามารถเข้าถึงข้อมูลได้เช่นกัน

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ใครหนอ

อิ่มอุ่น

เว็บสำเร็จรูป คืออะไร

เว็บสำเร็จรูป คืออะไร

หลายๆ คนที่เคยได้ยินคำว่าเว็บสำเร็จรูป (Web template) คงสงสัยกันว่าเว็บสำเร็จรูปที่แท้จริงแล้วมันคืออะไร ตรงไหนที่เรียกว่าสำเร็จรูป ซื้อมาแล้วพร้อมใช้งานขายของได้เลยไหม แล้วหน้าตาเว็บสำเร็จรูป (Web template) จะแตกต่างจากเว็บไซต์ทั่วไปอย่างไร...... วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจกัน....

เว็บสำเร็จรูป (Web template) คืออะไร ความหมายโดยทั่วๆไปของ เว็บสำเร็จรูป คือ บริการเว็บไซต์สำเร็จรูปหรือเว็บไซต์อัตโนมัติ ที่ง่ายและรวดเร็วทันใจ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในคอมพิวเตอร์ก็สามารถทำได้ ในการทำเว็บไซต์หรือสร้างเว็บไซต์นั้น ไม่ได้จบลงเพียงแค่การทำเว็บไซต์หรือสร้างเว็บไซต์เสร็จเท่านั้น อย่าลืมว่าเว็บไซต์ที่ดีคือเว็บไซต์ที่ไม่มีวันสร้างเสร็จ ภารกิจยังไม่หมด ภารกิจต่อไปหลังจากที่สร้างเว็บไซต์เรียบร้อยแล้ว เป็นภารกิจที่สำคัญมากๆภารกิจหนึ่ง นั่นก็คือ การโปรโมทเว็บไซต์หรือโฆษณาเว็บไซต์ ที่สร้างขึ้นมาให้เป็นที่รู้จักของสาธารณชนทั่วไป ผู้คนเข้าถึงง่าย เว็บไซต์อยู่ในโลกมืดหรืออีกโลกหนึ่งที่เรียกกันว่าโลกออนไลน์นั่นเอง ถ้าไม่มีการประชาสัมพันธ์หรือโฆษณาให้ผู้คนรู้จักและเข้าถึงได้ เว็บไซต์นั้นก็เป็บเว็บไซต์ร้างไปในที่สุด ถึงแม้จะใช้เงินลงทุนสร้างจำนวนมากมายก็ตาม ในปัจจุบันมีผู้ให้บริการเว็บไซต์จำนวนมาก

ซึ่งประเภทการให้บริการเว็บไซต์นั้นมีสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
1.ประเภทรับจ้างเขียนโปรแกรมสร้างเว็บไซต์ ผู้รับจ้างต้องมีความรู้ในการเขียนโปรแกรมเป็นอย่างดี
2.ส่วนอีกประเภทหนึ่งที่กำลังมาแรงในปัจจุบันก็คือผู้ให้บริการเว็บไซต์สำเร็จ รูปหรือเว็บไซต์อัตโนมัติ ซึ่งมีผู้ให้บริการเว็บไซต์ประเภทนี้มากขึ้นเรื่อยๆทั้งส่วนบุคคลและบริษัท ในการเลือกใช้บริการเว็บไซต์ต้องคำนึงถึงหลายๆด้าน ทั้งในส่วนผู้ให้บริการเองว่าเป็นมืออาชีพมากน้อยเพียงใด เพื่อความมั่นคงในระยะยาวแนะนำให้ใช้บริการที่เป็นนิติบุคคลที่ให้บริการมา นาน เพราะถ้าคัดเลือกผู้ให้บริการเว็บไซต์ผิดเท่ากับล้มเหลวไปล่วงหน้าส่วนหนึ่ง แล้ว

เว็บไซต์ในปัจจุบันมี 2 รูปแบบ ดังนี้.

1. เว็บไซต์ที่เขียนขึ้นเองโดยใช้โปรแกรม html และโปรแกรมอื่นๆผสมผสานกัน ซึ่งเว็บไซต์ประเภทนี้ผู้เขียนต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการเขีนโปรแกรม พอสมควรจึงจะทำได้ ข้อดีกก็คือสามารถสร้างได้ตามความต้องการยืดหยุ่นสูง Template Template

2. เว็บไซต์สำเร็จรูปหรือเว็บไซต์อัตโนมัติ ซึ่งเป็นบริการเว็บไซต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกกับผู้ที่ต้อง การมีเว็บไซต์เป็นของตนเอง แต่เขียนโปรแกรมสร้างไม่เป็น นักโปรแกรมเมอร์จึงได้สร้างรูปแบบที่สำเร็จรูปหรือโปรแกรมอัตโนมัติในการส ร้างเว็บไซต์วางไว้เรียบร้อยแล้ว เราเพียงวางข้อมูลลงบนแบบฟอร์มที่ต้องกรอกระบบก็จะทำงานให้โดยอัตโนมัติ ผู้กรอกข้อมูลไม่ต้องเขียนโปรแกรมให้ยุ่งยากลำบากใจ ทุกๆคนที่มีพื้นฐานทางคอมพิวเตอร์บ้างเล็กน้อยก็สามารถทำได้แล้ว

โดยให้ความสำคัญกับ

1. รูปแบบเว็บไซต์ทำได้ง่ายไม่สลับซับซ้อน
2. รับข้อมูลสอดคล้องกับเสิร์ชเอนจิ้นได้ดี มีระบบรองรับการติดข้อมูล ใน Google เราคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกค้าเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด
3.รูปแบบของเว็บไซต์สำเร็จรูปต้องประยุกต์ได้ง่าย เน้นความสวยงาม ไม่ซ้ำ ไม่แข็งจนเกินไป

ข้อดีและข้อเด่นของบริการเว็บไซต์สำเร็จรูปหรือ Web template
1 ) คุณไม่จำเป็นต้องมีความรอบรู้ในคอมพิวเตอร์มากมายก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย
2 ) ทำได้รวดเร็วดั่งใจ ภายในไม่กี่นาที
3 ) ไม่ยุ่งยากและสลับซับซ้อนหลายขั้นตอนเหมือนกรณีทั่วๆไป
4 ) ทำได้จากเครื่องคอมพิวเตอร์ออนไลน์ได้ทั่วโลกตลอดเวลา 24 ชม. ไม่ต้องใช้โปรแกรม ftp ให้ยุ่งยากและวุ่นวาย
5 ) ทุกๆคนสามารถทำได้อย่างง่ายดาย
6 ) ทำได้ด้วยตัวเองตลอดเวลา ผู้ให้บริการเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเว็บไซต์อัตโนมัติแบบมืออาชีพครบวงจร ได้ทุกๆอย่างในจุดเดียว ทั้งการสร้างเว็บไซต์ โปรโมทเว็บไซต์ ให้คำแนะนำและปรึกษา สอนความรู้ในธุรกิจออนไลน์ให้ บริการเว็บไซต์สำเร็จรูปแบบครบวงจรในจุดเดียว

ที่มา http://www.makewebeasy.com/

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความหมายของคำว่า.....แม่






ในสังคมต่าง ๆ ทั่วโลกให้ความสำคัญกับ "ความเป็นแม่" และคำเรียกผู้ที่ให้กำเนิดสมาชิกใหม่ของแต่ละสังคมส่วนใหญ่จะเป็นคำแรกที่เด็กสามารถเปล่งเสียงได้ก่อน "แม่" ดังนั้นความหมายของคำว่า "แม่" ทุกภาษาและวัฒนธรรมจะมีคุณค่าอย่างมาก และหากสังเกตจะพบว่า "แม่" เป็นเสียงที่เด็กสามารถเปล่งได้อย่างง่าย และเป็นคำแรกที่สามารถออกเสียงนั้นได้อย่างมีความหมาย นักภาษาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คำว่า "แม่" ของทุก ๆ ภาษา มาจากการออกเสียงของเด็ก โดยคำขึ้นต้นด้วยพยัญชนะริมฝีปากคู่ (Bilabial) ได้แก่ ม , พ , ป ,บ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพยัญชนะชุดแรกที่เด็กสามารถทำเสียงได้ โดยการใช้ริมฝีปากบนและล่าง ดังเช่น ภาษาไทย เรียก แม่


ภาษาจีน เรียก ม๊ะ หรือ ม่า


ภาษาฝรั่งเศส เรียก la mere (ลา แมร์)


ภาษาอังกฤษ เรียก mom , mam


ภาษาโซ่ เรียก ม๋เปะ


ภาษามุสลิม เรียก มะ


ภาษาไท เรียก ใต้คง เม


อย่างไรก็ตาม ความหมายหลักของคำว่า แม่ ก็คงหนีไม่พ้นการเป็นผู้ให้ชีวิตหรือหญิงผู้ให้กำเนิดบุตร หญิงผู้ปกป้องคุ้มครองและดูแลรักษา สังคมไทยยังใช้คำว่าแม่ตามความหมายนี้เรียกสิ่งดีงามตามธรรมชาติอื่น ๆ เพื่อยกย่องเทอดทูนในฐานะผู้ให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงชีวิต เช่น แม่น้ำ แม่โพสพ แม่ธรณี เป็นต้น ความหมายของคำว่าแม่ในลักษณะเช่นนี้แสดงให้เห็นชัดอย่างชัดเจนว่าสังคมไทยแต่โบราณมายกย่องและให้เกียรติสตรีเพศผู้เป็นแม่ ตระหนักในบทบาทหน้าที่และบุญคุณของแม่ต่อชีวิตของลูก ๆ ตลอดมาทุกยุคทุกสมัย ในบริบทของสังคมวัฒนธรรมไทย แม่ คือ ผู้เสียสละความสุขส่วนตนเพื่อลูก ๆ คอยดูแลเอาใจใส่และประคบประหงมลูกจนเติบใหญ่ ความรักของแม่ถือว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์ สังคมไทยมักพูดถึงแม่ในฐานะของผู้ที่รักลูกยิ่งชีวิต พร้อมจะตกระกำลำบากเพื่อลูกของตนโดยไม่สำนึกเสียใจ นางจันทร์เทวีถูกขับออกจากเมือง ต้องระเหเร่ร่อนไร้ที่ซุกหัวนอนเพราะคลอดลูกเป็นหอยสังข์ แต่นางก็ยังรักและเฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงโดยไม่เคยคิดรังเกียจเดียดฉันท์แม้แต่สัตว์อย่างนางนิลากาสร ก็ยังรักและหวงแหนลูกอย่างทรพี ปกป้องลูกของตนมิให้ถูกฆ่าดังเช่นลูกของตัวอื่น ๆ แม้ว้าโดยทั่วไปแล้ว คำว่า "แม่" จะบ่งบอกความหมายของการเสียสละ ความรักและความผูกพันที่ผู้หญิงที่มีต่อลูกของตน แต่การที่สังคมไทยมีลักษณะวัฒนธรรมเฉพาะที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละชนชั้น ทำให้ความหมายของการเป็นแม่ ตลอดจนบรรทัแบบแผน พฤติกรรมและบทบาทฐานะของผู้หญิงในวัฒนธรรมของแต่ละชนชั้นย่อมแตกต่างกันไป



วันแม่..............?





Mother's Day : วันแม่แห่งชาติ
วันแม่แห่งชาติ หรือ วันแม่ แต่เดิมนั้นคือวันที่ 15 เมษายนของทุกๆ ปี และได้มีการจัดงาน วันแม่แห่งชาติขึ้นครั้งแรกในวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2493 ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2519 ทางราชการได้เปลี่ยนจัดงานวันแม่ใหม่ให้ถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็น วันแม่แห่งชาติ
ซึ่งตรงกับวันที่ 12 สิงหาคม ทั้งนี้ เมื่อวันแม่แห่งชาติ ของทุกๆ ปีเวียนมาถึง หน่วยงานต่างๆ ก็จะมีการจัดกิจกรรมวันแม่เนื่องใน วันแม่แห่งชาติ12 สิงหาคม ไม่ว่าจะเป็นการประกวดทำ การ์ดวันแม่ กลอนวันแม่ คำขวัญวันแม่ เรียงความ วันแม่รวมถึงประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน เพื่อร่วมเทิดพระเกียรติใน วันแม่แห่งชาติ





วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

5 วิธีใช้อินเตอร์เน็ตสร้างสรรค์และถูกวิธี


ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคอินเทอร์เน็ต พวกเราได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินจากมัน เช่น ได้เล่นเกมออนไลน์ , ได้ chat กับคนแปลกหน้า , ได้ดูรูปโป๊แบบไม่จำกัด ,ได้หาแฟนใหม่ทางเน็ตวันละ 10 คน ฯลฯ แต่มีผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่านเตือนว่า การหมกมุ่นอยู่กับเน็ต ระวังอันตรายร้อยแปด ทั้งเสียการเรียน ทั้งเสียคน บางทีอาจจะถึงกับได้พบอันตรายที่คาดไม่ถึงอีกมากมาย ที่จริง ก็น่าเห็นใจน้อง ๆ นะ ... เพราะเรียนหนังสือเครียดจะตายไป เลิกเรียนแล้ว ก็น่าจะได้มีโอกาสผ่อนคลายความเครียดกันบ้าง คนจะหาความสุขจากเน็ตสักหน่อย ยังมาห้ามอีก อะไรทำนองนั้น ทีนี้ตามหลักพุทธศาสนาท่านว่า ความสุขมีสองแบบ คือ แบบ เสพบริโภค (กามฉันทะ ) กับ แบบสร้างสรรค์ (ธรรมฉันทะ ) ความสุขแบบเสพบริโภคนั้น เป็นความสุขมีคุณน้อย มีโทษมาก ทำให้หลงเพลิดเพลินไม่เป็นอันทำการงาน มีแนวโน้มทำให้เกิดความรุนแรง เบียดเบียนกัน ร้อนรน กระวน กระวาย ไม่คุ้มค่ากับความสุขเพียงนิด ที่ต้องแลกกับความทุกข์ที่ตามมาเป็นพรวน ๆ อย่ากระนั้นเลย budpage ขอลองเสนอวิธีหาความสุขอย่างสร้างสรรค์ (ธรรมฉันทะ) จากเน็ตสัก 5 วิธี มาแนะนำกัน แบบว่าให้ได้ทั้งสนุก และ ได้รับสาระไปด้วย ดังต่อไปนี้
1."ชื่นชมความงามธรรมชาติบนเน็ต" เปิดเวบค้นหาภาพธรรมชาติ จำพวก ต้นไม้ ภูเขา วิวสวย ๆ ดวงจันทร์ หรือ ดอกไม้ ฯลฯ พอได้พบภาพที่ถูกใจ ให้คุณมองภาพนั้นด้วยความชื่นชมพร้อมทั้งกล่าวพรรณาความงามออกมา อาจจะเป็นคำพูดดี ๆ หรือ แต่งเป็นกลอน หรือแต่งเป็นเพลง ก็ได้ หากคุณลองทำดูแล้วคุณรู้สึกว่าจิตใจของคุณมีความแช่มชื่นเบิกบาน จนอยากออกไปพบเห็นธรรมชาติจริง ๆ ข้างนอก ละก้อ...แสดงว่าคุณได้ เข้าถึงความงามของธรรมชาติบ้างแล้ว
2. "พรรณาความงามของงานศิลปะ" อันนี้ก็คล้าย ๆ กัน ให้ search ค้นหาภาพงานศิลปะต่างๆ ที่มีอยู่มากมายในอินเทอร์เน็ต คัดเลือกภาพที่ถูกใจสักภาพ แล้วให้คุณ พรรณาความงามของงานศิลปะชิ้นนั้น โดยสมมุติตัวเองว่าเป็นศิลปินกำลังบรรยาย ให้ผู้ชมฟัง พรรณาเข้าไปเถอะ หรือจะใช้วิธีพิมพ์บรรยายลงในคอมพ์ก็ได้ ทำอย่างนี้สักประเดี๋ยวจิตใจของคุณก็จะเกิดความปีติสุข เพราะได้เข้าถึงความงามของศิลปะ

3.มีความสุขกับการเป็น"พหูสูต " "พหูสูต" แปลง่าย ๆ ว่า"ผู้รอบรู้" คือ ไม่ว่าจะพบเห็นอะไร ก็จะมองเห็นเป็นความรู้ไปหมด สามารถ อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง นิสัย"พหูสูต" นี่สามารถสร้างขึ้นมาได้ หากฝึกฝนเป็นประจำ ยิ่งสมัยนี้มีอินเทอร์เน็ตยิ่งง่ายใหญ่ วิธีง่าย ๆ เริ่มต้นด้วย ทุก ๆ วัน ก่อนจะเปิดเน็ตให้ลองเหลียวมองสิ่งต่างๆ รอบตัวคุณ แล้วตั้งคำถามกับตัวเอง "วันนี้เราอยากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับอะไร" เมื่อเราได้พบสิ่งที่น่าสนใจแล้ว ก็ให้ค้นในอินเทอร์เน็ตว่าเราได้รับความรู้อะไรจากสิ่งนั้นบ้าง ยกตัวอย่าง เหลียวไปเหลียวมารอบ ๆ ตัว ก็พบว่าวันนี้ เราอยากจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับ "ปากกาลูกลื่น"ที่วางอยู่บนโต๊ะ เราก็พิมพ์ คำว่า"ปากกาลูกลื่น" หรือ ball-point pen ลงในเวบไซต์ประเภท search engine ( เช่น google.com ,siamguru.com ฯลฯ) จากนั้นก็ให้คัดเลือกหาอ่านเรื่องราวที่มีความรู้เกี่ยวกับ"ปากกาลูกลื่น" เก็บเกี่ยวสาระให้ได้มากที่สุด จนเราสามารถคุยเรื่องปากกาลูกลื่นได้เป็นชั่วโมง ๆ (แววพหูสูตเริ่มปรากฏ) วันต่อ ๆ มาก็ให้มองหาสิ่งอื่น รอบๆ ตัวเพื่อค้นหาความรู้อีก ลองตั้งเป้าไว้เลยว่า จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งของที่มีอยู่ในบ้านให้หมดทุกอย่าง หากใครทำได้ ถือว่าได้เป็นผู้รอบรู้คนหนึ่งในบ้านเลยทีเดียว
4. สารานุกรมภาพ มาสะสม"ภาพความรู้"กันดีกว่า (รับรอง สนุกว่าสะสมรูปโป๊ ) กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ท้าทายมาก เพราะมีคนฉลาดๆเท่านั้นเองที่สามารถทำได้ วิธีการง่าย ๆ ก็คือให้ท่องเว็บไปเรื่อย ๆ ทีนี้เกิดไปเจอภาพอะไรที่เขามีคำอธิบายเกี่ยวกับภาพนั้น ๆ เราก็ลองอ่านดู ถ้าเรื่องราวน่าสนใจ อ่านแล้วเราเข้าใจ ประทับใจ ก็ให้ save ภาพนั้นเก็บไว้ในอัลบั้มภาพในเครื่องคอมพ์ของตนเอง ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนเรามีคลังภาพแห่งความรู้เก็บไว้มากมาย ( ทุกภาพก่อน save เราจะต้องอ่านเนื้อหาคำอธิบายจนเข้าใจภาพนั้นได้ดีก่อน ไม่ใช่ เก็บแต่ภาพแต่ไม่ยอมเก็บความรู้) ยกตัวอย่าง เปิดเวบไปเห็นภาพ"เหตุการณ์ 14 ตุลา" เราก็อ่านเรื่องราวบรรยายภาพนั้นจนเข้าใจ ว่าได้เกิดอะไรขึ้นในปี พ.ศ. 2516 จากนั้นให้save ภาพนั้นเก็บเอาไว้ หรือ ไปพบภาพ "super nova" (ดาวระเบิด) เราก็อ่านจนเข้าใจเนื้อหาสาระของภาพ แล้วก็เก็บภาพไว้ ทีนี้เวลาได้ภาพเก็บไว้ในอัลบั้มมากพอเพียงแล้ว เวลาว่าง ๆ ให้คุณลองจัดแสดงภาพแบบสไลด์โชว์ บรรยายให้เพื่อนฝูงฟัง รับรองว่าคุณจะกลายเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ สามารถให้ความรู้และความสนุกสนานกับเพื่อน ๆ จนบรรดาเพื่อน ๆ จะต้องทึ่งในตัวคุณเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
5. "เก็บคำคม" ในเว็บบอร์ดบนอินเทอร์เน็ตมีคำคม ๆ สำนวนดี ๆ มากมาย อ่าน ๆ แล้ว ให้เลือกสรรคำที่โดนใจ เอามาสะสมไว้ในไดอารี่ของเรา จะได้เก็บไว้อ่านประเทืองปัญญา จริงอยู่ในเว็บบอร์ดส่วนใหญ่อาจจะมีคำพูดที่ไม่เหมาะสมมากมาย เช่น คำหยาบ คำส่อเสียด ด่าว่า กระทบกระเทียบ แต่ในคำพูดเหล่านี้บางครั้งก็มีสาระสอดแทรกอยู่ เราสามารถเลือกสรรสิ่งที่ดีๆ คือ เลือกเฟ้นสิ่งที่ เป็นเนื้อหาสาระออกมา ( คุ้ยหาเพชรจากกองขยะ ) คุณทราบหรือไม่ว่าคำพูดของคนบางคน (แม้แต่คำพูดของคนที่สติไม่ดี ) บางครั้งจะให้แง่คิดดี ๆ ที่ช่วยปรับปรุงชีวิตของเราให้พัฒนาขึ้นมาได้ ลองดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าการสะสมข้อความดี ๆ มีสาระ มีความสนุกสนาน และมีคุณค่า ไม่น้อยกว่าการสะสมพระเครื่อง หรือ ตุ๊กตาโมเดลราคาแพง ๆ เสียอีก มาใช้สื่ออินเตอร์เน็ตอย่างสร้างสรรค์กันนะคะ

ความปลอดภัยในการใช้อินเตอร์เน็ต


30 วิธีเพื่อความปลอดภัยในการใช้อินเตอร์เน็ต

ปัจจุบันการใช้งานระบบอินเทอร์เน็ตมีประโยชน์อย่างมาก จึงทำให้การใช้งานเป็นไปอย่างแพร่หลาย บุคคลที่ใช้อินเทอร์เน็ตจึงมีหลายจุดประสงค์ ทั้งใช้งานในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และการใช้งานที่เป็นผลร้ายต่อบุคคลอื่น ดังนั้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้ทำการแปลและเรียบเรียงวิธีการใช้งาน อินเทอร์เน็ตเบื้องต้น สำหรับผู้ที่เริ่มใช้งาน เพื่อจะได้ปลอดภัย จากภัยร้ายบนอินเทอร์เน็ต

1. เมื่อเริ่มใช้อินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ควรปรึกษาผู้ใหญ่เกี่ยวกับแนวทางในการใช้ในการใช้อินเทอร์เน็ตต่อวัน และเมื่อผู้ใช้มีความรู้ และคุ้นเคยในการใช้งานจริงบ้างแล้ว จึงค่อยปรับเปลี่ยนแนวทางในใช้เวลาในการใช้อินเทอร์เน็ตให้เหมาะสมต่อไป และควรเขียนแนวทางในการใช้อินเทอร์เน็ตติดไว้ใกล้กับคอมพิวเตอร์ เพื่อความสะดวกในการจัดระบบการใช้อินเทอร์เน็ต
2. อย่าให้รหัสลับแก่ผู้อื่น
3. ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ ทุกครั้งที่ให้ข้อมูลส่วนตัวกับบุคคลอื่นในอินเทอร์เน็ต
4. ตรวจทานว่าได้พิมพ์ชื่อเว็บไซด์ถูกต้องเสียก่อน แล้วจึงกด Enter เพื่อจะได้เข้าเว็บไซด์ที่ต้องการได้ถูกต้อง
5. ปรึกษาผู้ใหญ่ ก่อนเข้าใช้ห้องสนทนาบนอิน เทอร์เน็ต เพราะว่าห้องสนทนาแต่ละห้องมีการสนทนาที่แตกต่างกัน บางห้องอาจไม่เหมาะสม
6. ถ้าพบเห็นข้อความ หรือสิ่งใด ที่ไม่เหมาะสม หรือ คิดว่าไม่ดีต่อการใช้อินเทอร์เน็ต ควรออกจากเว็บไซด์นั้น และแจ้งให้ผู้ใหญ่ทราบทันที
7. อย่าส่งรูปภาพของตนเอง หรือรูปภาพของผู้อื่น ให้คนอื่นทางอีเมลล์ ยกเว้นได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่เสียก่อน
8. ถ้าได้รับอีเมลล์ที่มีข้อความไม่เหมาะสมหรือทำให้ไม่สบายใจ ไม่ควรโต้ตอบ และควรบอกให้ผู้ใหญ่ทราบก่อนทันที
9. บนอินเทอร์เน็ต ทุกอย่างที่คุณเห็นไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป
10. อย่าบอกอายุจริงของคุณกับคนอื่น ถ้ามีความจำเป็นควรปรึกษาผู้ใหญ่ก่อน
11. อย่าบอกชื่อจริง และนามสกุลจริงกับบุคคลอื่น ถ้ามีความจำเป็นควรปรึกษา และขออนุญาตผู้ใหญ่ก่อน
12. อย่าบอกที่อยู่ ของคุณกับบุคคลอื่น
13. ปรึกษาผู้ใหญ่ก่อนทุกครั้งที่จะทำการลงทะเบียนใด ๆ บนอินเทอร์เน็ต
14. อย่าให้หมายเลขของบัตรเครดิตการ์ดของคุณกับบุคคลอื่น ถ้ามีความจำเป็นควรปรึกษาผู้ใหญ่ก่อน
15. ขณะที่ใช้อินเทอร์เน็ต ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเรา คุณสามารถทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ และไม่ทำในสิ่งที่ไม่ต้องการได้
16. อย่าเปิดเอกสารหรืออีเมลล์หรือไฟล์ จากบุคคลอื่นที่ไม่รู้จัก เพราะอาจมีไวรัส หรือข้อมูลไม่เหมาะสม มากับเอกสารหรืออีเมลล์นั้น
17. ควรวางเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ในสถานที่ที่สะดวกในการดูแลเอาใจใส่ เช่น ห้องนั่งเล่น หรือ ห้องส่วนรวม
18. อย่าตัดสินใจที่จะไปพบบุคคลอื่นซึ่งรู้จักกันทางอินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ และถ้ามีการนัดพบกันไม่ควรไปเพียงลำพัง ควรมีผู้ใหญ่หรือคนที่รู้จักหรือเพื่อนไปด้วย และควรนัดพบกันในที่สาธารณะ
19. บนอินเทอร์เน็ตข้อมูลต่าง ๆ ที่เราพิมพ์ลงไป บุคคลอื่นที่เราไม่รู้จักสามารถล่วงรู้ได้ จึงควรใช้อย่างระมัดระวัง
20. อย่าบอกเบอร์โทรศัพท์ของคุณกับบุคคลอื่น ในอินเทอร์เน็ต
21. พูดคุยกับผู้ใหญ่อย่างสม่ำเสมอ เกี่ยวกับสถานที่ กิจกรรม และสิ่งต่าง ๆ ที่พบเห็น บนอินเทอร์เน็ตที่ได้พบเห็น ระหว่างการใช้อินเทอร์เน็ต
22. ใช้ชื่อที่ต่างจากชื่อจริง และชื่อเล่นของตัวเองเพื่อใช้แทนตัวเอง ในขณะใช้อินเทอร์เน็ต
23. ควรปรึกษาผู้ใหญ่ ถ้าต้องการที่จะให้อีเมลล์แอดเดรสกับบุคคลอื่นในอินเทอร์เน็ต
24. ถ้ามีบุคคลอื่นที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป ไม่ควรให้ข้อมูล และควรหยุดการสนทนานั้น
25. อย่าบอกชื่อ ที่อยู่ของโรงเรียนของคุณ กับบุคคลอื่นบนอินเทอร์เน็ต
26. ขณะใช้อินเทอร์เน็ตไม่ควรเชื่อคำพูดหรือข้อมูลของบุคคลอื่น เพราะการปลอมตัวทำได้ง่าย และอาจไม่เป็นความจริง
27. อย่าทำสิ่งผิดกฎหมายบนอินเตอร์เน็ต เช่น ถ้าไม่เคยใช้บัตรเครดิต ก็ไม่ควรกรอกข้อมูลในการซื้อของ โดยใช้บัตรเครดิต บนอินเทอร์เน็ต
28. เมื่อมีใครบางคนให้เงินหรือของขวัญ ฟรี ๆ กับคุณ ควรบอกปฏิเสธ และบอกให้ผู้ใหญ่ทราบทันที
29. อย่าใช้คำไม่สุภาพ ขณะใช้อินเทอร์เน็ต
30. คุณสามารถออกจากอินเทอร์ได้ด้วยตัวเอง ถ้าไม่ต้องการใช้อินเทอร์เน็ต

ประวัติอินเตอร์เน็ต......



ประวัติความเป็นมาของอินเตอร์เน็ต



อินเตอร์เน็ต มีพัฒนาการมาจาก อาร์พาเน็ต (Arp Anet เรียกสั้น ๆ ว่า อาร์พา) ที่ตั้งขึ้นในปี 2512 เป็นเครือข่ายคอมพิวเคอร์ของกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา ที่ใช้ในงานวิจัยด้านทหาร (ARP : Advanced Research Project Agency)มาถึงปี 2515 หลังจากที่เครือข่ายทดลองอาร์พาประสบความสำเร็จอย่างสูง และได้มีการปรับปรุงหน่วยงานจากอาร์พามาเป็นดาร์พา (Defense Advanced Research Project Agency: DARPA) และในที่สุดปี 2518 อาร์พาเน็ตก็ขึ้นตรงกับหน่วยการสื่อสารของกองทัพ (Defense Communication Agency)
ในปี 2526 อาร์พาเน็ตก็ได้แบ่งเป็น 2 เครือข่ายด้านงานวิจัย ใช้ชื่ออาร์พาเน็ตเหมือนเดิม ส่วนเครือข่ายของกองทัพใช้ชื่อว่า มิลเน็ต (MILNET : Millitary Network) ซึ่งมีการเชื่อมต่อโดยใช้ โพรโตคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet) เป็นครั้งแรก
ในปี 2528 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติของอเมริกา (NSF) ได้ ให้เงินทุนในการสร้างศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 6 แห่ง และใช้ชื่อว่า NSFNETและพอมาถึงปี 2533 อาร์พารองรับภาระที่เป็นกระดูกสันหลัง (Backbone) ของระบบไม่ได้ จึงได้ยุติอาร์พาเน็ต และเปลี่ยนไปใช้ NSFNET และเครือข่ายขนาดมหึมา จนถึงทุกวันนี้ และเรียกเครือข่ายนี้ว่า อินเตอร์เน็ต โดยเครือข่ายส่วนใหญ่จะอยู่ในอเมริกา และปัจจุบันนี้มีเครือข่ายย่อยมากถึง 50,000 เครือข่ายทีเดียว และคาดว่า ภายในปี 2543 จะมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั้งโลกประมาณ 100 ล้านคน หรือใกล้เคียงกับประชากรในโลกทั้งหมด
สำหรับประเทศไทยนั้น อินเตอร์เน็ตเริ่มมีบทบาทอย่างมากในช่วงปี 2530-2535 โดยเริ่มจากการเป็นเครือข่ายในระบบคอมพิวเตอร์ระดับมหาวิทยาลัย (Campus Network) แล้วจึงเชื่อมต่อเข้าสู่อินเตอร์เน็ตอย่างสมบูรณ์เมื่อเดือนสิงหาคม 2535และ ในปี 2538 ก็มี การเปิดให้ บริการอินเตอร์เน็ตในเชิงพาณิชย์ (รายแรก คือ อินเตอร์เน็ตเคเอสซี) ซึ่งขณะนั้น เวิร์ลด์ไวด์เว็บกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในอเมริกา
อย่างไรก็ตาม อินเตอร์เน็ต บางครั้งก็มีการเรียกย่อเป็น เน็ต (Net) หรือ The Net ด้วยเช่นเดียวกัน อีกคำหนึ่งที่หมายถึงอินเตอร์เน็ตก็คือ เว็บ (Web) และ เวิร์ลด์ไวด์เว็บ (World – Wide Web) (จริง ๆ แล้ว เว็บเป็นเพียงบริการหนึ่งของอินเตอร์เน็ตเท่านั้น แต่บริการนี้ ถือว่าเป็นบริการที่มีผู้นิยมใช้มากที่สุด


เรามารู้จักสัญญาณ....อินเตอร์เน็ตก่อนติดกันดีกว่า ???


สัญญาณที่แสดงว่า........


คุณติดอินเตอร์เน็ตถ้าคุณเป็นแบบนี้ แสดงว่าคุณติดแล้ว


1. หยุดเล่นอินเตอร์เน็ตไม่ได้ ในกรณีนี้จะถือว่าอาการยิ่งรุนแรงมากขึ้น ถ้าเกิดเคยสัญญากับตัวเอง หรือ บุคคลอื่นว่าจะลดเวลาการออนไลน์ แต่ผลสุดท้ายก็ทำไม่ได้ตามที่ตั้งใจไว้
2. เริ่มโกหก โกหกบุคคลรอบข้างว่าไม่ได้เล่นอินเตอร์เน็ต แต่จริงๆ แล้วพยายามทุกวิถีทางเพื่อหาโอกาสออนไลน์
3. สถานการณ์เริ่มเลวร้าย แต่ยังไม่รู้ตัว เมื่อเสียเวลาอยู่ในโลกออนไลน์มากๆ เข้า ก็จะทำให้ไม่มีเวลาไปทำกิจกรรมอย่างอื่น ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
4. มีพฤติกรรมผิดศีลธรรม เวลาเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์ เริ่มกลายเป็นคนชอบโกหกหลอกลวง กล้าทำกล้าพูดในสิ่งผิดศีลธรรม เพราะรู้ว่าสามารถปกปิดสถานะที่แท้จริงของตัวเองได้
5. ไม่รู้เวลา นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อเล่นอินเตอร์เน็ตโดยไม่รู้เวลา จัดลำดับความสำคัญของการงาน หรือ การเรียนไม่ได้
6. ติดเน็ต-เหมือนติดยา เวลาออนไลน์แล้วรู้สึกขัดแย้งในตัวเอง เช่น รู้ว่าการเล่นอินเตอร์เน็ตมากๆ เป็นสิ่งไม่ดี แต่ห้ามตัวเองไม่ได้ เพราะเสพติดไปแล้ว
7. ชีวิตขาด "เน็ต" ไม่ได้ แสดงปฏิกิริยาต่อต้านทันที เมื่อถูกบีบบังคับ หรือ จำเป็นต้องลดเวลาการออนไลน์
8. คิดอะไรไม่ออก ขณะทำกิจกรรมต่างๆ เช่น รับประทานอาหาร ทำงาน อ่านตำรา ฯลฯ จะห้ามใจไม่ให้คิดถึงการเล่นอินเตอร์เน็ตไม่ได้
9. แยกตัว เกิดอาการแยกตัวจากสังคม ไม่กล้าเผชิญหน้ากับชีวิตจริง โดยเข้าไปหลบตัวอยู่ในโลกของอินเตอร์เน็ตแทน
10. สิ้นเปลืองเงิน สิ้นเปลืองเงินทองไปกับการอัพเกรดคอมพิวเตอร์ การอยู่ในโลกออนไลน์ หรือ ใช้จ่ายเงินหมดไปกับเวลาค่าใช้อินเตอร์เน็ตโดยไม่จำเป็น