เที่ยวบ้าน..ข้าน้อย

แอร์ละแหน่...พาเที่ยว

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

ความหมายของการปล่อยสัตว์




คุณรู้ไหมว่า...ปล่อยปลาแต่ละชนิดมีความหมายอย่างไรเวลาที่คุณทำบุญโดยการปล่อยสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์น้ำ ประเภทปลาซึ่งมีอยู่หลายชนิดนั้นซึ่งแต่ละชนิดมีความหมายในการทำบุญแตกต่างกันไป เรามาดูกันว่า ปลาแต่ละชนิดและสัตว์น้ำบางชนิด มีความหมายในการทำบุญด้วยการปล่อยอย่างไร เพื่ออะไรบ้าง บางคนอาจปล่อยสัตว์เหล่านี้ตามจำนวนมากกว่าอายุเรา 1 ปี หรือบางคนอาจยึดหลักตามกำลังวันเกิดของเราเอง
ความหมายของการปล่อยสัตว์ ปลาไหล หมายถึง การเงิน การงาน การเรียนจะราบรื่นปลาหมอ หมายถึง เพื่อสุขภาพปลาบู่ หมายถึง ทดแทนผู้มีพระคุณปลาดุก หมายถึง ศัตรูคู่แข่งแพ้พ่ายปลานิล หมายถึง ทรัพย์สินเพิ่มพูนปลาช่อน หมายถึง ช้อนเงินทอง สิ่งที่ซ่อนเร้นจะได้พบปลาทับทิม หมายถึง ทำอะไรราบรื่นปลาสวาย หมายถึง เงินทองคล่องตัวปลาขาว หมายถึง ปลานำโชคปลาจารเม็ด หมายถึง จะได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยปลาใน หมายถึง ได้เป็นเจ้าคนนายคนปลาดุกเผือก หมายถึง ปลามงคลปลาดำราหู หมายถึง สะเดาะเคราะห์ปล่อยกบ หมายถึง ขออุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวรหอยขม หมายถึง ทิ้งความขมขื่น จะร่มเย็นเป็นสุขหอยโข่ง หมายถึง หนทางโล่งเป็นผู้นำ ข้าทาสบริวารมากตะพาบ หมายถึง ภัยคุกคามต่า งๆจะราบ อัมพาตจะดีขึ้น อายุมั่นขวัญยืนสำหรับผู้ที่เกิดแต่ละวัน มีเคล็ดในการทำบุญต่าง ๆ กันไป ดังนี้บุคคลใดที่เข้าสู่เบญจเพท อายุลงท้ายเลข 5 ,9 เช่น 25 29 35 39 45 49 55 59 เป็นต้น... คนเกิดวันอาทิตย์ ....ให้ปล่อยปลาไหล... คนเกิดวันจันทร์...... ให้ปล่อยนก... คนเกิดวันอังคาร..... ให้ปล่อยหอยขม... คนเกิดวันพุธ.............ให้ปล่อยปลาไหล... คนเกิดวันพฤหัส..... ให้ปล่อยเต่า... คนเกิดวันศุกร์......... ให้ปล่อยปลาหมอ... คนเกิดวันเสาร์........ ให้ปล่อยปลาไหลจำนวนสัตว์ที่ปล่อย ถ้ามีกำลังทรัพย์ ก็ให้มากกว่าอายุ สำหรับคนที่มีรายได้น้อยไม่สะดวกเรื่องเงิน ให้ถือเลขอายุลงท้ายเลข คู่ ให้ปล่อยสัตว์จำนวนเลขคี่ อายุลงท้ายเลขคี่ ให้ปล่อยสัตว์จำนวนเลขคู่... อายุ 24 ปล่อยสัตว์จำนวน เลขคี่ 1 3 5 7 9 ..... ฯ... อายุ 25 ปล่อยสัตว์จำนวน เลขคู่ 2 4 6 8 10 12 14 ..... ฯคำอธิษฐาน การปล่อยสัตว์ข้าพเจ้าชื่อ ......... นามสกุล เกิดวันที่ ..... เดือน . พ . ศ ...... อายุ .... ปี ได้ปล่อยสัตว์ ............... จำนวน ...... ตัว ปล่อยเพื่อให้เป็นที่พึ่งแก่ตนเอง เพื่ออุทิศส่วนกุสลให้แก่ศัตรู และเจากรรมนายเวรทั้งหลาย ตัวที่เป็นที่พึ่ง ขอให้นำความสุขและโชคลาภมาให้ข้าพเจ้า ตัวที่ให้กับศัตรูและเจ้ากรรมนายเวร จงนำเอาสรรพทุกข์ สรรพโศกสรรพโรค สรรพภัย สรรพเคราะห์เสนียดออกไปจากข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอให้พระแม่ธรณี พระแม่คงคา , เทพเทวา เจ้าที่เจ้าทาง , หลวงพ่อโต , และพญานาคราช จงป็นสักขีพยานรับทราบกุศลเจตนาของข้าพเจ้า และคุ้มครองชีวิตสัตว์ให้ปลอดภัยจนสิ้นอายุขัย ด้วยอำนาจของกุศลผลบุญนี้ จงสะเดาะเคราะห์ร้ายของข้าพเจ้าให้กลับกลายเป็นดี มีความร่มเย็นเป็นสุขประสพความสำเร็จสมหวังในสิ่งที่พึงปรารถนา มีความเจริญก้าวหน้า มีชีวิตที่ สดชื่น มีความสุขความเจริญ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ .




วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

คนที่ชอบพักมากๆ ตายเร็วกว่าคนทำงาน


นักวิจัยสมาคมวิจัยโรคมะเร็งอเมริกัน ได้พบในการศึกษาว่า คนเรายิ่งนั่งอยู่เฉยนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสี่ยงกับความตายมากเท่านั้น

นัก วิจัยอัลพา ปาเตล ของสมาคมกล่าวแจ้งว่า การนั่งนานในเวลาว่างมากเท่าใด ยิ่งเสี่ยงกับการตายสูงเท่านั้น โดยเฉพาะผู้หญิง สตรีที่รายงานว่า ใช้เวลานั่งนานไม่ต่ำกว่าวันละ 6 ชม. จะเสี่ยงกับการเสียชีวิตลง ในระหว่างช่วงเวลาของการศึกษา มากกว่าผู้ที่นั่งนานไม่เกินวันละ 3 ชม. ถึงร้อยละ 37 สำหรับผู้ชาย คนที่นานมากกว่าวันละ 6 ชม. ก็จะเสี่ยงตายมากกว่าเพื่อนที่นั่งนานไม่เกินวันละ 3 ชม. ร้อยละ 18 โดยจะตายด้วยโรคหัวใจมากกว่ามะเร็ง

เขาอธิบายว่า “การนั่งนานๆ โดยไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว จะทำให้เป็นโทษกับการเผาผลาญอาหารของร่างกาย และอาจจะมีอิทธิพลกับไตรกลีเซอไรด์ ลิโพโปรตีน คอเลสเทอรอล ความดันโลหิต และเลปติน ซึ่งล้วนแต่เป็นเครื่องชี้วัดของความอ้วน และโรคหลอดเลือดหัวใจกับโรคเรื้อรังต่างๆ

รายงานการศึกษาได้สรุปว่า “ข้อแนะนำและคำประกาศทางสาธารณสุข ควรจะรวมคำเตือน ให้มีการลดการใช้เวลานั่งไว้ด้วย เพื่อจะได้เคลื่อนไหวอิริยาบถมากขึ้น”.

ทีึ่มา http://www.xn--q3ctbz5akd1duhna.com


วิธีลดความมันบริเวณรอบจมูก


บริเวณจมูกมักจะมันเยิ้มได้ง่ายมาก แถมยังมีสิวหัวดำขึ้นมาบ่อยๆ หมั่นทำความสะอาดผิวหน้าเป็นอย่างดีแล้วก็ยังไม่หาย ทำยังไงดีคะ?

A : มี ปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ผิวบริเวณนั้นผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ทั้งสภาพอากาศ สิ่งแวดล้อม และรอบเดือน บางครั้งการกินอาหารที่มีประโยชน์ และการทำความสะอาดผิวหน้าเป็นประจำก็ยังอาจไม่พอ คุณจำเป็นต้องทำความสะอาดอย่างล้ำลึกสัปดาห์ละครั้งด้วยมาส์กที่มีขายตาม เคาน์เตอร์ทั่วไป หรืออาจลองปรุงมาส์กพอกหน้าตำรับทำเอง

ขั้นแรกผสมข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะเข้ากับน้ำนม เติมมันเนย 4 ช้อนโต๊ะ คนส่วนผสมทั้งสองอย่างให้เข้ากันจนมีลักษณะเป็นเนื้อครีมข้นๆ นำมาพอกหน้า และลำคอทิ้งไว้ 15-20 นาที หลังจากนั้นเช็ดออกด้วยผ้าขนหนูนุ่มๆ ชุบน้ำอุ่นแล้วบิดให้แห้งหมาด ๆตามด้วยน้ำสะอาด และตบท้ายด้วยน้ำเย็นเพื่อช่วยกระชับรูขุมขนค่ะ


ที่มา http://www.xn--q3ctbz5akd1duhna.com

กูเกิ้ลเตือน”แอนตี้ไวรัส” (antivirus) ปลอมระบาดหนัก


รายงานข่าวล่าสุด ผลจากการศึกษาของกูเกิ้ล (Google) พบว่า ซอฟต์แวร์แอนตี้ (antivirus) ไวรัสปลอมที่ ติดตั้งตัวเองเข้าไปในพีซีพร้อมกับโค้ดอันตราย กำลังเป็นภัยคุกคามอย่างหนัก โดยผลจากการวิเคราะห์หน้าเว็บ 240 ล้านเพจตลอดช่วงระยะ 13 เดือนที่ผ่านมาพบว่า มีโปรแกรมแอนตี้ไวรัสปลอมมากถึง 15% เลยทีเดียว

แฮคเกอร์ และพวกนักต้มตุ๋นกำลังหลอกล่อให้ผู้ใช้ดาวน์โหลด และติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัสปลอมเข้าไปในเครื่อง

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

วิธีเปลี่ยนอารมณ์เสีย ให้อารมณ์ดีอย่างรวดเร็ว



  • เขียนบันทึก เพราะการเขียนเรื่องที่ทำให้คุณอารมณ์บูดลงในสมุดไดอารี่ หรือบนบล็อกส่วนตัวของคุณ เป็นอีกหนึ่งวิธีระบายความโกรธที่ดีทีเดียว ที่สำคัญมันสามารถช่วยได้โดยไม่ต้องรบกวนเพื่อน ญาติ ให้มารับฟังปัญหาของคุณอีกด้วย
  • คิดถึงฉากภาพยนตร์ ละคร หรือเรื่องราวน่าประทับใจแทนเหตุการณ์ที่ชวนอารมณ์ไม่ดี หรือจะฟังเพลงที่ชอบก็ได้ อาจจะช่วยได้อีกทาง
  • เข้าหาธรรมชาติ อาจ จะออกไปอยู่ในสวน ชมต้นไม้ ปลูกต้นไม้ ดอกไม้ หรือออกไปเดินตากแดดอุ่น ๆ เดินชมแสงจันทร์ หรือหมู่ดาวยามค่ำคืน หรือแม้กระทั่งเขยิบตัวไปชิดหน้าต่างที่เปิดรับลมจากภายนอกก็ยังได้ ธรรมชาติจะช่วยให้จิตใจสงบ และผ่อนคลายลงจนทำให้คลายอารมณ์เสียได้
  • ลองก้มตัวลงไปเอามือแตะหัวแม่เท้า ค้างไว้สัก 1 นาที จาก นั้นค่อย ๆ ยกตัวกลับขึ้นมา จะรู้สึกว่า อารมณ์ดีขึ้น เป็นเพราะร่างกายได้เหยียดยืด ความตึงเครียดตามอวัยวะต่าง ๆ จะหายไป ทำให้อารมณ์สดใสขึ้นได้
  • แปะภาพที่ให้ความรู้สึกดี ๆ ไว้บนประตูตู้เย็น อาจจะเป็นภาพประทับใจของครอบครัวก็ได้ค่ะ อาจช่วยให้เราระลึกได้ถึงวันเวลาดี ๆ เพื่อให้ความรู้สึกดี ๆ เหล่านี้เข้ามาช่วยขับอารมณ์เสีย ออกไปได้
  • วางแผนลาพักร้อน เหนื่อยนักก็พักเสียเลย กางปฏิทินหาเวลาเหมาะ ๆ วางแผนลาพักร้อนไปเที่ยวกับครอบครัว และหากมีปฏิทิน ก็วงวันที่ด้วยปากกาสีสันสดใส ให้ตัวโต ๆ เวลาเดินผ่านจะได้นึกถึงช่วงวันหยุดที่กำลังจะมาถึง จิตใจจะได้ผ่องใส
  • ลองเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนรอบข้าง ทำดีให้คนอื่น ๆ โดยไม่หวังผลตอบแทน เช่น นำหนังสือนิทานดี ๆ มาแบ่งปันให้เด็กๆ ในซอยฟัง หรืออาจจะซื้อกาแฟอร่อย ๆ มาฝากเพื่อนบ้านหรือเพื่อนร่วมงาน หรือคลุกข้าวเผื่อเจ้าตูบหน้าปากซอยก็ได้ อิ่มบุญขนาดนี้ เดี่ยวอารมณ์ก็สดใสขึ้น

ลองทำตามคำแนะนำนี้ดูนะคะ

ที่มา http://sakid.com/2010/09/05/25635/


เคล็ดลับ ประทับใจ เมื่อรักแรกพบ หรือ เมื่อพบกันครั้งแรก


  • เลือกสถานที่ เงียบสงบน่าจะดี สถานที่ที่เหมาะกับการบ่มเพาะมิตรภาพส่วนใหญ่ จะเป็นที่ที่ไม่ดึงอื้ออึง เช่น ตลาดสด และไม่ควรนัดพบครั้งแรกที่บ้าน เนื่องจากถ้าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นประเภท 17 มงกุฎ หรือเป็นคนประเภท “เกาะหนึบ” แล้ว อาจจะเสี่ยงอันตรายมากไป หรือไม่ก็เลิกลากันได้ยาก เพราะอีกฝ่ายจะตามตื๊อได้ง่าย ของฝากเล็กๆ น้อยๆ เช่น ดอกไม้ ช็อกโกแล็ต ฯลฯ อาจช่วยสานต่อมิตรภาพได้ โดยเลือกให้เหมาะกับอีกฝ่ายหนึ่ง
  • ดูดีไว้ก่อน คนที่ “ดูดี” หรือภาพรวมของร่างกาย-เสื้อผ้า-เครื่องประดับดูเหมาะสม และดูสะอาดน่าจะได้เปรียบกว่าคนที่ “ดูไม่ดี” เสมอ เรื่องที่สำคัญ คือ ตัดภาพลบออกไป เช่น หัวกระเซิงอาจไปตัดผมก่อน หัวเหม็นอาจไปสระผมก่อน เต่าแรงอาจใช้ยาทาทุกวันล่วงหน้า 7 วัน ฯลฯ อย่าลืมนอนให้พอล่วงหน้าไว้หลายๆ วัน เพราะถ้าง่วงไปหาวไป หรือไปถึงก็หลับเลยตั้งแต่แรกพบอาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่า คนๆ นี้น่าจะไม่ค่อยมีสมรรถภาพ
  • มีน้ำใจ ความเป็นคน “มีน้ำใจ” หรือเป็นคน “น่ารัก” มักจะมีชัยไปกว่าครึ่ง เช่น ไปออกค่ายด้วยกันก็ช่วยทำกับข้าว ล้างจาน-ล้างชาม-ล้างแก้ว แบกของ (แรกดีไว้ก่อนได้เปรียบเสมอ) ฯลฯ ที่สำคัญ คือ “ไม่รับปาก” โดยไม่ทำ… อะไรที่ไม่แน่ใจก็อย่าเพิ่งรับปาก เพราะคำพูดของเราเป็น “เครดิต” ทางใจกับคนอื่น
  • ทิ้งเรื่องหนักๆ ไว้ ไม่ว่าชีวิตจะ “โหด-เศร้า-เหงา-เซง” สักเพียงใดก็ต้องรู้จัก “วางมันลง” ก่อนไปสานต่อมิตรภาพใหม่เสมอ เพราะการไปถึงก็บ่นๆๆๆ มักจะทำลายมิตรภาพตั้งแต่แรกพบ ตรงกันข้าม… ถ้าจะสานต่อมิตรภาพครั้งแรก ให้พก “ความสุข” ไป หรือไม่ก็ “เริ่มจากฐานศูนย์ (0)” หรือลืมเรื่องเก่า-พักเรื่องเก่าไว้ชั่้วคราว แล้วไปเริ่มต้นกันใหม่ และอย่าลืม… ทำตัวให้ว่าง เช่น เคลียร์ธุระใ้ห้ว่างจริงๆ สัก 1/2 วัน ฯลฯ… ไม่จำเป็นอย่าไปรับงานอื่นเพียบ ซึ่งจะทำให้เครียดโดยไม่จำเป็น
  • อย่าเสแสร้ง การเสแสร้งเป็น “อะไรที่ไม่ใช่เรา” มักจะทำให้มิตรภาพไม่ยั่งยืน… ทางที่ดี คือ เป็นอย่างที่เราเป็น พร้อมรับฟัง พร้อมที่จะแก้ไขข้อบกพร่อง พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ พร้อมที่จะพยายามใหม่เสมอ

เจอกันคราวหน้า อย่าลืมทำตามที่บอกนะคะ ^-^


ที่มา http://sakid.com/2010/09/04/25616/

เรื่องน่ารู้ เทคนิคการปฏิเสธ เพื่อไม่ให้หักหาญน้ำใจ


  1. ตอบปฏิเสธออกไปตรงๆ โดยพูดเน้นคำว่า “ไม่” สัก 2 ครั้ง เพื่อให้คู่สนทนารู้ว่า คุณไม่ต้องการ หรือทำในสิ่งที่เขาขอร้องไม่ได้จริงๆ ก่อนปิดท้ายด้วยคำว่า “ขอบคุณ” ให้ดูดีมีมารยาท ตัวอย่าง เหตุการณ์ที่ หลายคนต้องพบเจออยู่เป็นประจำ เช่น หากมีใครมาชวนไปทานข้าวกลางวัน แต่คุณไม่อยากไป หรือไปไม่ได้ให้ตอบว่า “ไม่ค่ะ ฉันไปไม่ได้จริงๆ ขอบคุณค่ะที่ชวน”
  2. การสะท้อนถึงคำว่า “ไม่” สำหรับเทคนิคนี้มีหลักการคือ ก่อนคุณจะปฏิเสธนั้น ให้คุณขึ้นต้นด้วยประโยคที่สื่อได้ว่า คุณรู้ในสิ่งที่คนชวนต้องการ แต่คุณก็ไปด้วยไม่ได้จริงๆ (สะท้อนให้เขารู้ ว่าคุณเข้าใจความต้องการหรือเจตนาเขา ก่อนจะตอบปฏิเสธ) ตัวอย่าง “ฉันทราบค่ะว่าคุณอยากคุยกับฉัน เกี่ยวกับแผนงานประจำปีในมื้อกลางวันนี้ แต่ฉันไปด้วยไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
  3. บอกเหตุผลในการปฏิเสธ สำหรับเทคนิคนี้ ต้องเน้นนะคะว่า ให้บอกเหตุผลในการปฏิเสธเพียงสั้นๆ เท่านั้น เอาแบบ สั้น ง่าย ได้ใจความ อย่าเยิ่นเย้อ หรือชักแม่น้ำทั้ง 5 มาสาธยาย เพราะนั่นจะยิ่งทำให้ดูน่ารำคาญ และไม่จริงใจ เหมือนพยายามหาข้ออ้างมาปฏิเสธมากกว่า ตัวอย่าง “ฉันคงไปทานข้าวเย็นกับคุณไม่ได้ เพราะมีงานที่ต้องทำให้เสร็จภายในค่ำนี้”
  4. ปฏิเสธแบบต่อรอง อัน นี้เป็นมุมมองการปฏิเสธแบบนักธุรกิจสักหน่อย หลักการอยู่ที่ว่า หากคุณทำในสิ่งที่เขาขอร้อง หรือชักชวนในครั้งนี้ไม่ได้ ก็ให้ยื่นข้อเสนอไปว่า เอาไว้คราวหน้าได้ไหม? ตัวอย่าง “ฉันไปทานข้าวกับคุณวันนี้ไม่ได้จริงๆ เอาไว้เป็นโอกาสหน้าก็ได้ไหมคะ”
  5. การปฏิเสธแล้วถามกลับ เทคนิคข้อนี้มีหลักการคือ เมื่อพูดปฏิเสธไปแล้ว ให้ยิงคำถามกลับไปทันที ตัวอย่าง (ขอยกตัวอย่างประโยคการปฏิเสธที่แอบหยอดคนชวนไว้เล็กๆ) “เราคงไปทานข้าวมือกลางวันในวันนี้ไม่ได้จริงๆ แต่มันจะมีโอกาสหน้าอีกไหมคะ ที่เราจะได้ไปทานด้วยกัน”
  6. ทวนคำปฎิเสธ เทคนิคสุดท้ายนี้ ถือว่าได้รับความนิยมที่สุด เพราะเป็นเทคนิคการพูดที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่า เราใส่ใจเขา และในความจริงแล้ว เราเองก็ไม่ปฏิเสธเขาแต่มันจำเป็นต้องปฏิเสธจริงๆ นั่นคือ เทคนิคการทวนคำปฏิเสธหลายๆ รอบ ด้วยประโยคต่อๆ กัน ตัวอย่าง “เราคงไปทานข้าวกับเธอไม่ได้จริงๆ อยากไปด้วยนะแต่ไปไม่ได้ จริงๆ นะ ถ้าไปได้วันนี้คิดว่าจะเลี้ยงเธอเลย แต่มันไปไม่ได้จริงๆ” (แอบขำทำเป็นเนียนว่าจะเลี้ยงเขาซะด้วย)

ใครที่เจอคนตื้อบ่อยๆ ลองทำตามคำแนะนำดูนะคะ ไม่แน่น้า เค้าอาจจะถอยทับไปเองก็ได้ ถ้าเจอคำปฏิเสธบ่อยๆ


ที่มา http://sakid.com/2010/08/26/25385/